เจ้าบ่าวพังงานแต่ง ไม่โอเคบ้านเจ้าสาวเหยียดแม่ จัดให้นั่งโต๊ะรวมญาติจากบ้านนอก

“ต้าเป่า” ลูกชายของป้าหลี่ ควงแฟนสาวเข้าประตูวิวาห์ และน่าจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข แต่เขากลับพังงานแต่งงานของตัวเอง แล้วจูงมือแม่ออกไปจากงานด้วยความโกรธ

“ต้าเป่า” ชายหนุ่มจากชนบท ครอบครัวเหลือเพียงแม่วัยชรา เนื่องจากพ่อเสียชีวิตไปนานแล้ว เขาเติบโตมาโดยเห็นว่าแม่ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูลูก กระทั้งเติบโตขึ้นได้พบรักกับ “ซู่หลิง” ลูกสาวคนเดียวของปลัดอำเภอ แต่พ่อแม่ของฝ่ายหญิงไม่สนใจเรื่องความต่างทางฐานะ พวกเขาถามเพียงแค่ว่าต้าเป่าอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของเขาไหม

หากว่าต้าเป่าตอบตกลง ทางครอบครัวของฝ่ายหญิงยินดีที่จะจ่ายค่าสินสอดและค่าใช้จ่ายสำหรับงานแต่งเอง อีกทั้งยังจะมอบห้องชุดและรถยนต์ให้เป็นของขวัญคู่แต่งงานด้วย “ป้าหลี่” แม่ขอวต้าเป่า เมื่อรู้เช่นนั้นจึงเชื่อว่าการได้เข้าไปอยู่ในครอบครัวนี้ถือเป็นพรอันประเสริฐ และจะต้องเป็นประโยชน์อย่างมากต่ออนาคตของลูกชายของเธอ ดังนั้นเธอจึงตกลงโดยไม่ลังเล

กระทั่งวันวิวาห์มาถึง งานแต่งงานถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะ คนใหญ่คนโตของเมืองและคนดังจากรายการวิทยุต่างเข้าร่วมงาน อบอวนไปด้วยบรรยากาศของผู้คนระดับสูง มีโต๊ะรับรองแขกมากมายหลายสิบโต๊ะ ซึ่งแม่ของเจ้าสาวเป็นผู้จัดการทั้งหมดว่าแขกท่านใดนั่งโต๊ะไหนบ้าง

หลังจากที่บ่าวสาวต้อนรับแขกที่หน้าประตูเสร็จแล้ว ทั้งคู่ได้เดินเข้ามาที่โต๊ะประธาน หรือโต๊ะหลักที่มีขนาดใหญ่ที่สุด แต่เมื่อต้าเป่ามองไปยังคนที่นั่งบนเก้าอี้ทั้ง 8 ตัว กลับไม่พบว่ามีแม่ของเขารวมอยู่ในนั้น เขาเริ่มคิดว่ามีบางอย่างแปลกๆ เพราะแม่เดินทางออกจากชนบทแต่เช้า และเธอน่าจะมาถึงแล้ว ดังนั้นเขาจึงถามแม่ของเจ้าสาวว่า “แม่ครับ แม่ของผมยังไม่มาถึงอีกหรือ?”

“อยู่ที่นี่แล้ว” แม่ของเจ้าสาวพูดออกมาโดยไม่ได้เงยหน้ามอง แต่เจ้าบ่าวก็ยังถามต่อไปว่า “แล้วแม่ของผมไปไหน ทำไมไม่เห็นแม่เลย” สุดท้ายเธอจึงจำเป็นต้องชี้ไปที่โต๊ะหนึ่ง และพูดออกมาว่า “เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะกับญาติของคุณ”

ต้าเป่ามองตามทิศทางที่เธอชี้ไป และเห็นว่ามีคนนั่งอยู่ที่โต๊ะนั้น 8 คน ทุกคนเป็นญาติของครอบครัวต้าเป่า และแม่ของเขานั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ญาติคนอื่นๆ อีกหลายคนก็นั่งก้มศีรษะลง ซึ่งเป็นภาพที่ดูหม่นหมองมากในสายตาของเขา

ต้าเป่ารู้สึกแปลกๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาจึงเดินมาหาแม่และถามว่า “แม่ งานแต่งงานกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ทำไมถึงยังนั่งอยู่ที่นี่ มาที่โต๊ะหลักเถอะ!” แต่แม่กลับพูดอย่างลังเลว่า “แม่จะนั่งที่นี่ญาติของเรา” ต้าเป่ายังคงคิดว่าบางทีแม่ของเขาอาจตื่นเต้นเพราะไม่เคยเห็นงานใหญ่โตขนาดนี้มาก่อน เขาจึงพยายามโน้มน้าวแม่ต่อว่า “จะนั่งตรงนี้ได้ยังไง แม่คือแม่ของผมนะ”

จนในที่สุดแม่ของเขาก็พูดออกมาเสียงเบาว่า “ไม่ แม่จะนั่งตรงนี้ แม่ภรรยาบอกว่าโต๊ะหลักมีที่นั่งไม่พอ ให้แม่นั่งกับญาติๆ นั่งตรงนี้ดีกว่า” แต่เมื่อต้าเป่าได้ยินดังนั้น เขาก็โกรธจัดทันที ดึงแม่ของเขาขึ้นมาแล้วพูดว่า “มากับผม”

เมื่อพาแม่ไปที่โต๊ะหลัก ต้าเป่าพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อระงับความโกรธของเขา และพูดกับแม่ของเจ้าสาวอย่างใจเย็นว่า “แม่ครับ ทำไมแม่ของผมถึงได้ถูดจัดให้ไปนั่งที่โต๊ะญาติของผม เธอเป็นแม่ของผมและควรนั่งที่โต๊ะหลัก”

แม่ของเจ้าสาวตอบกลับมาเบาๆ ว่า “ดูซิ โต๊ะนี้นั่งได้เพียงแปดคน พ่อแม่เจ้าสาว ปู่ย่าตายายของเธอ พ่อสื่อแม่สื่อ และบ่าวสาวอีกสองคน รวมแปดคนพอดี ไม่มีที่นั่งเหลือแล้ว และญาติของคุณมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น ดังนั้นจึงให้แม่ของคุณนั่งที่นั่น”

ต้าเป่าทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงตะโกนออกมาว่า “นี่คือแม่ของผม ถ้าแม่ไม่นั่งที่โต๊ะหลัก แม่จะนั่งตรงไหนดี คุณเคารพแม่ผมบ้างไหม” และเสียงตะโกนของเจ้าบ่าวได้เรียกความสนใจของแขกในงาน ในเวลานี้พ่อของเจ้าสาวก็เริ่มโกรธแล้วเหมือนกัน เขาจึงลุกขึ้นมาตอบโต้ว่า “คุณคิดว่าคุณเป็นใคร คุณกล้าพูดเสียงดังแบบนี้เหรอ ดีแล้วไม่ใช่หรือที่แม่ของคุณจะนั่งกับญาติจากชนบทของคุณ หรืออยากให้จัดโต๊ะให้แม่คุณคนเดียวเหรอ”

ต้าเป่ามองไปที่ภรรยาของเขา และหวังว่าเธอคงช่วยพูดอะไรบ้าง แต่กลับกลายเป็นว่าเธอชี้หน้าด่าเขา “คุณต้องรู้ว่าคุณเป็นใคร เป็นเกียรติแค่ไหนแล้วที่ได้เข้ามาในครอบครัวของฉัน นอกจากนี้ โต๊ะนึงมันนั่งได้แค่แปดคน คุณต้องการให้ปู่ย่าตายายของฉัน พ่อสื่อแม่สื่อ หรือแม้แต่พ่อแม่ของฉัน ยกที่นั่งให้แม่คุณเหรอ แม่และญาติๆ ของคุณไม่เหมาะจะนั่งตรงนี้หรอก ตรงนี้มีแต่คนสำคัญ จะนั่งกับคนชนบทแบบนั้นได้ยังไง”

ต้าเป่ารู้สึกใจสลายทันทีที่ได้ฟัง แท้จริงแล้วครอบครัวภรรยาไม่เคยปฏิบัติต่อเขาอย่างเท่าเทียม สุดท้ายเขาตัดสินใจล้มโต๊ะงานแต่ ฉีกดอกไม้สีแดงดอกใหญ่บนหน้าอกเสื้อออก เดินจากไปพร้อมกับแม่ของเขา และไม่มีงานแต่งงานอีกต่อไป

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ชาวบ้านทราบเรื่องที่เกิดขึ้น บางคนบอกว่าต้าเป่าโง่จริงๆ อีกทั้งยังไร้ความอดทนจนต้องทิ้งอนาคตที่สดใส ในขณะที่ความคิดเห็นอีกส่วนแย้งว่า หากแต่งเข้าไปในบ้านที่คอยแต่จะดูถูกคนอื่นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น สุดท้ายก็จะกลายเป็นเพียงสุนัขในบ้านตัวหนึ่งเท่านั้นเอง