เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกาชนภูเขาใต้มหาสมุทร 

เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ลำแรกของโลกชื่อ “นอติลุส” สร้างโดยสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2497 เป็นเรือดำน้ำที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบความดันไอน้ำขนาดเล็กแทนเครื่องยนต์ดีเซลของเรือดำน้ำทั่วไป ทำให้ไม่ต้องใช้พื้นที่ในการเก็บน้ำมันดีเซล และไม่ต้องกลับขึ้นมาชาร์จแบตเตอรี่ที่ผิวน้ำอีกด้วย

เรือนอติลุสสามารถถอดเปลี่ยนแกนยูเรเนียมใหม่ 1 ชิ้น ซึ่งมีพลังงานที่สามารถใช้ได้ เป็นระยะเวลาประมาณ 10 ปี เรือนอติลุสมีความยาว 319 ฟุต ความกว้าง 27 ฟุต สามารถดำน้ำได้ลึกกว่า 400 ฟุต แล่นใต้น้ำด้วยความเร็ว 20 นอต และยังทำลายสถิติ โดยการเป็นเรือลำแรกที่ดำลงไปลอดใต้ชั้นน้ำแข็งไปถึงขั้วโลกเหนือ และถูกปลดระวางเมื่อปี 2523 หลังจากนั้นก็ถูกนำไปจัดแสดง ในพิพิธภัณฑ์เมื่อปี 2528

INP / AFPเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์นอติลุส จอดอยู่ที่ท่าเรือกองทัพกอร์ตอน ในรัฐคอนเนตทิคัต เมื่อปี 2498

เวลาผ่านไป 67 ปี ได้มีการพัฒนาเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ให้เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่ไม่ต้องเติมเชื้อเพลิงเลยตลอดอายุการทำงาน 25 ปีของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เรือดำน้ำพลังงานนิวแคลียร์สามารถดำน้ำอยู่ที่ระดับความลึกได้ยาวนานเป็นเดือนโดยไม่ต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ และสามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงถึง 30-35 นอตเมื่ออยู่ใต้น้ำ

ภายในเรือยังมีอุปกรณ์การสร้างออกซิเจนจากน้ำทะเล และมีพื้นที่กว้างขวางสำหรับการเก็บเสบียงอาหาร และน้ำจืด ทำให้ลูกเรือสามารถดำรงชีวิตได้อย่างยาวนานใต้ทะเลลึกโดยสามารถอยู่ใต้น้ำได้นาน 90 วัน ก่อนที่จะต้องขึ้นสู่ผิวน้ำ หรือกลับฐานเพื่อเติมเสบียง

ดังนั้นประเทศใดที่มีเรือดำน้ำหลังงานนิวเคลียร์จึงเป็นการข่มขวัญกองทัพศัตรูได้เป็นอย่างดี แต่การที่จะมีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ได้นั้นเป็นเรื่องยากเพราะเทคโนโลยีในการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในเรือดำน้ำนั้นเป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนมากต้องใช้งบประมาณในการสร้างขึ้นมาแต่ละลำเป็นเงินมหาศาล จึงมีเพียง 6 ประเทศในโลกเท่านั้นคือสหรัฐอเมริกา รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สาธารณรัฐประชาชนจีน และอินเดียที่มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ยังคงใช้เรือดำน้ำดีเซลอยู่ 

เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์นั้นไม่ต้องเติมเชื้อเพลิงเลยตลอดอายุการทำงาน 25 ปี ของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ตรงกันข้ามกับเรือดำน้ำดีเซลที่ต้องบรรทุกถังน้ำมันเป็นจำนวนมากเพื่อเอาไว้เติมน้ำมันในการปฏิบัติภารกิจทำให้มีพื้นที่คับแคบสามารถบรรทุกอาวุธได้น้อยเพียงตอร์ปิโด หรือจรวดมิสไซล์เพียง 12-20 ชุด

นอกจากนี้ เรือดำน้ำดีเซลสามารถดำน้ำได้ลึก 150-300 เมตร และทำความเร็วสูงสุดได้ 15-20 นอต (28-37 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) 

สําหรับประเทศที่มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ มีดังนี้คือ 

  • สหรัฐอเมริกา มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์อยู่ 68 ลำ
  • รัสเซีย มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์อยู่ 29 ลำ และเรือดำน้ำดีเซลที่สามารถยิงจรวดติดหัวระเบิดนิวเคลียร์ได้อีก 11 ลำ นอกจากนี้ ยังมีเรือดำน้ำดีเซลอีก 9 ลำ 
  • สาธารณรัฐประชาชนจีน มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์อยู่ 12 ลำ และมีเรือดำน้ำดีเซลอีก 47 ลำ 
  • อังกฤษ มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์อยู่ 11 ลำ 
  • ฝรั่งเศส มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์อยู่ 8 ลำ 
  • อินเดีย มีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์อยู่ 1 ลำ และมีเรือดำน้ำดีเซลอีก 15 ลำ 

จะเห็นได้ว่าสหรัฐอเมริกานั้นนำโด่งเหนือประเทศต่างๆ แบบไม่เห็นฝุ่นเลยทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพมิหนำซ้ำในจำนวนเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 68 ลำของกองทัพเรืออเมริกันนั้นมีเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ระดับท็อปคือระดับ The Seawolf class ซึ่งมีอยู่ เพียง 3 ลำเท่านั้นคือ ซี วูลฟ์, คอนเนตทิคัต และ จิมมี คาร์เตอร์ ที่เรียกว่าเป็นรถยนต์สปอร์ตของเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์เลยทีเดียวเพราะราคาค่าต่อเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ระดับ The Seawolf class แต่ละลำนั้นมีราคาถึง 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยก็เอา 32 คูณเข้าไปซึ่งเกินกำลังของเครื่องคิดเลขที่มีอยู่ที่บ้าน)

ปรากฏว่าเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ที่ชื่อคอนเนตทิคัตซึ่งหนัก 9,300 ตัน ยาว 353 ฟุตสามารถดำน้ำได้ลึกอย่างเป็นทางการ 800 ฟุต แต่ความจริงสามารถดำลงได้ลึกถึง 1,600 ฟุต (488 เมตรจุดที่ลึกที่สุดในมหาสมุทรของโลกลึกถึง 10,911 เมตร) มีทหารประจำเรือ 140 นาย แล่นไปชนภูเขาใต้ทะเลจีนใต้เมื่อวันที่ 2 ต.ค. ที่ผ่านมา

US Navy / USNI Newsเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์คอนเนตทิคัตแล่นในทะเลเมื่อปี 2552

แต่ขณะนี้เรือคอนเนตทิคัตจอดอยู่ที่เกาะกวมซึ่งเป็นฐานทัพอเมริกันในมหาสมุทรแปซิกหลังจากไปชนภูเขาแล้วก็ยังสามารถแล่นกลับมายังฐานทัพเรือได้สำเร็จโดยไม่มีการเสียหายถึงระบบนิวเคลียร์มีกลาสีบาดเจ็บเล็กน้อย 11 คนโดยผู้บังคับการเรือคอนเนตทิคัตและนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาเรืออีก 2 นายถูกปลดออกจากตำแหน่งไปแล้ว 

ว่าไปตามความเป็นจริงแล้วแผนที่ใต้ท้องมหาสมุทรทั้งหมดของโลกนั้นยังทำไม่ได้ ถึง 20% ของพื้นที่ทั้งหมดและเฉพาะแผนที่ใต้ท้องทะเลจีนใต้นั้นก็มีเพียงไม่ถึง 50% ของพื้นที่ใต้ท้องทะเลทั้งหมด จึงมีคำกล่าวที่ไม่เกินความจริงว่าเรามีแผนที่ของพื้นผิวดาวอังคารมากกว่าแผนที่ของใต้มหาสมุทรของโลกเสียอีก

จริงอยู่เรือดำน้ำมีระบบโซนาร์เป็นหูเป็นตาใต้น้ำอันมีประสิทธิภาพเหมือนเรดาร์แต่ระบบโซนาร์มีเสียงดังถูกจับสัญญาณจากเรือล่าเรือดำน้ำง่ายจึงพยายามไม่ค่อยใช้กันเท่าไรนัก ดังนั้นอุบัติเหตุเช่นการชนภูเขาใต้น้ำและเกยตื้นจึงเกิดขึ้นได้เสมอโดยเฉพาะการปฏิบัติการลับประเภทสอดแนมของเรือดำน้ำที่เข้าไปในเขตน่านน้ำของประเทศอื่นแต่ไม่ค่อยมีการเปิดเผยกันเท่าไรนัก