มหานครเซี่ยงไฮ้ เมืองศูนย์กลางการเงินและการค้าสำคัญของจีน อยู่ในสภาพล็อกดาวน์มาเป็นสัปดาห์ที่ 4 แล้ว หลังจากเกิดการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ซึ่งเป็นสายพันธุ์โอมิครอน และถือเป็นการระบาดใหญ่ที่สุดในรอบ 2 ปี

ชาวเมืองมากกว่า 25 ล้านคน ถูกจำกัดให้อยู่แต่ในที่พัก ยกเว้นคนที่ออกมาตรวจหาเชื้อ และผู้เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรค การรักษาโรคที่ไม่เกี่ยวกับโควิดถูกเลื่อนออกไป ร้านค้า ร้านสะดวกซื้อ สถานที่ต่างๆ ถูกสั่งปิด การสั่งซื้ออาหารและสินค้าทางออนไลน์ถูกระงับ มีช่วงเวลาเคอร์ฟิวส์ และมีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวดตามนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” ของรัฐบาลกลาง

การปิดสถานที่ขายสินค้าจำเป็นอย่างต่อเนื่องนับสัปดาห์ ทำให้ชาวเมืองเริ่มขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม ผัก เนื้อสัตว์ ยารักษาโรค และของใช้ประจำวัน ขณะที่การแจกจ่ายอาหารและสิ่งของจำเป็นของรัฐบาลท้องถิ่นล่าช้า ไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึง 

หลังหนึ่งสัปดาห์ของการล็อกดาวน์ ชาวเมืองเซี่ยงไฮ้ที่อาศัยอยู่บนตึกสูง พากันส่งเสียงกรีดร้อง เนื่องจากอาหารและสิ่งของดำรงชีพไม่เพียงพอ และไม่มีข้อมูลจากรัฐบาลท้องถิ่นถึงระยะเวลาในการห้ามออกจากที่พัก เมื่อเวลาผ่านไป เสียงตะโกนร้องขออาหารจากที่ต่างๆ ดังระงมไปทั่วเมือง

มีชาวเมืองจำนวนหนึ่งถูกบังคับให้ออกจากอะพาร์ตเมนต์ที่เช่าอยู่ เพื่อนำอาคารที่พักอาศัยและโรงเรียน มาเป็นสถานที่กักตัวชั่วคราวของผู้ติดเชื้อ ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าวพากันออกมาประท้วง ตำรวจใช้กำลังกดดันให้สลายการชุมนุม และจับกุมผู้ประท้วง

ขณะที่ผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการถูกบังคับให้กักตัวที่ศูนย์กักตัวที่รัฐบาลท้องถิ่นจัดเตรียมไว้ ซึ่งหลายแห่งมีสภาพแออัดและย่ำแย่ มีผู้แสดงความเห็นว่าน่ากลัวและดูคล้าย “ค่ายผู้ลี้ภัย” หรือ “ค่ายกักกัน” มากกว่าสถานพยาบาลชั่วคราว

นอกจากนั้น ยังมีวิดีโอเผยแพร่บนโซเชียลมีเดียถึงภาพเจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงกับประชาชนที่พยายามหลบออกจากที่พักเพื่อมาหาอาหาร การแจกจ่ายอาหารหมดอายุ ปริมาณอาหารไม่เพียงพอสำหรับสมาชิกครอบครัวและจำนวนวันที่จะได้รับแจกรอบต่อไป ความไร้ประสิทธิภาพของรัฐในการจัดการอาหารสดที่จะนำไปแจกจ่าย การแย่งชิงสิ่งของจากรถขนเสบียง การบุกปล้นข้าวของในซูเปอร์มาเก็ตที่ถูกปิด รวมถึงการกำจัดสัตว์เลี้ยงที่ติดเชื้อด้วยการทุบตีจนตายและวิธีการที่ทารุณอื่นๆ และภาพการฆ่าตัวตายของประชาชนด้วยการกระโดดลงมาจากตึกที่พักอีกด้วย

ชาวเมืองที่หิวโหยและสิ้นหวังจากการล็อกดาวน์ที่ไม่มีกำหนด ต่างโกรธเกรี้ยวและออกมาประท้วง จนเกิดความอลหม่านในหลายพื้นที่และจบลงด้วยการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รัฐ

สื่อและชาวเมืองมองว่าปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดจากความไม่สามารถในการบริหารจัดการและความไม่เตรียมพร้อมรับมือของรัฐบาลท้องถิ่น หลายคนตั้งคำถามถึงความจำเป็นของมาตรการควบคุมโควิดให้เป็นศูนย์ เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตในจีนต่ำมากเมื่อเทียบกับนานาประเทศ

จำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนสะสมในเซี่ยงไฮ้ ตั้งแต่ 1 มี.ค.ถึง 16 เม.ย. อยู่ที่ 326,000 คน และล่าสุดมีผู้เสียชีวิต 10 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว และไม่ได้รับวัคซีน

หลี่ หยวน คอลัมนิสต์ของเดอะนิวยอร์ก ไทม์ มองว่า โควิดในจีนถูกทำให้เป็นเรื่องการเมือง โดยระบุว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังมองหาทางที่จะให้ได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ที่จะมีขึ้นปลายปีนี้ ให้ดำรงตำแหน่งต่อเป็นวาระที่ 3 รวมถึงต้องการใช้ความสำเร็จในการควบคุมโควิด แสดงต่อชาวโลกว่า การบริหารแบบอำนาจเบ็ดเสร็จของจีนมีประสิทธิภาพเหนือกว่าระบอบเสรีประชาธิปไตยของชาติตะวันตก

โดนัลด์ โลว ศาสตราจารย์จากสถาบันนโยบายสาธารณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยฮ่องกง ให้ความเห็นว่า นโยบายโควิดเป็นศูนย์นั้นสร้างต้นทุนมหาศาลทั้งทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ให้กับประชาชน และยังเป็นสาเหตุของการตายที่ไม่จำเป็นจากสภาพที่ไม่ใช่โควิด โดยเฉพาะความวิตกกังวลและอาการป่วยทางจิตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เกินไปกว่าผลดีที่จะได้จากนโยบายควบคุมโควิดให้เป็นศูนย์

โดนัลด์ โลว กล่าวว่า ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลจีนกันโควิดไม่อยู่ และข้อเท็จจริงประชาชนในเซี่ยงไฮ้ กลัวการควบคุมโควิดให้เป็นศูนย์มากกว่าตัวโควิดเองเสียอีก

เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ย้ำว่า งานป้องกันและควบคุมโรคนั้น ไม่อาจผ่อนคลายได้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า มาตรการล็อกดาวน์ในเซี่ยงไฮ้จะยังคงเข้มข้นต่อไป