แม่ช็อกคาตา ลูกสาวใช้หมอนอุดหน้าน้องชาย โดนตีร้องไห้โฮ ชี้ต้นเหตุเพราะคำพูดยาย

ผู้ใหญ่ควรระวังคำพูดที่เอ่ยออกมาต่อหน้าเด็กๆ ให้มาก หากว่าไม่อยากต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ดังเช่นเรื่องราวของคุณแม่คนหนึ่ง เห็นคาตาลูกสาววัย 4 ขวบวางแผนทำร้ายน้องชายแรกเกิด โดนทำโทษถึงยอมสารภาพทั้งน้ำตา ต้นเหตุมาจากคำพูดของคุณยาย

เว็บไซต์ phunuphapluat ของเวียดนาม รายงานเรื่องราวของหญิงสาวคนหนึ่งที่ออกมาเล่าเรื่องราวชีวิตว่า เธอและสามีมีลูกสาวคนแรกหลังจากแต่งงานกันได้ 1 ปี และวางแผนที่จะมีลูกคนที่ 2 เมื่อลูกคนแรกโตพอ ดังนั้นเมื่อลูกสาวอายุได้ 3 ขวบ จึงตัดสินใจมีลูกอีกคน และตั้งแต่วันที่เธอรู้ตัวว่าตั้งท้องลูกคนที่ 2 เธอก็พยายามพร่ำบอกลูกสาวคนโตเสมอ ว่าการมีน้องเป็นสิ่งที่มีความสุข และแม้ว่าพ่อแม่จะมีลูกเพิ่มขึ้น แต่ความรักที่มีต่อเธอก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป

อาจเป็นเพราะความสัมพันธ์ในชีวิตประจำวัน ที่ลูกสาวคนโตมักจะพูดคุยเล่นกับลูกคนเล็กที่ยังอยู่ในท้องเสมอ ดังนั้น เมื่อถึงกำหนดวันที่ลูกคนเล็กจะลืมตาดูโลก ลูกสาวจึงขออย่างตื่นเต้นว่าจะไปที่โรงพยาบาลด้วยเพื่อรอดูน้องชาย กระทั่งหลังออกจากโรงพยาบาลกลับมาพักฟื้นที่บ้านแล้ว ลูกสาวก็ยังคงมีความรักและเอ็นดูให้กับน้องชายอย่างมาก ทุกครั้งที่กลับจากโรงเรียนจะแวะมาหอมแก้มน้องชายก่อนเสมอ เมื่อเธอเห็นว่าลูกมีความสุขก็รู้สึกอิ่มใจไปด้วย

แต่จู่ๆ ลูกสาวก็เริ่มเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน แสดงสีหน้าต่อต้านคำพูดของพ่อแม่ มักแสดงอาการไม่สบายใจเสมอเมื่อเห็นอุ้มน้องชาย ถึงขนาดจงใจเตะตะกร้า หรือทำแก้วหล่น เพื่อให้แม่วางน้องชายลงและไปทำความสะอาด เมื่อกลับมาจากโรงเรียนก็ไม่ทักทายใครเลย บางครั้งเมื่อแม่ปล่อยให้ลูกสองคนเล่นกันในห้อง สักพักจะได้ยินเสียงลูกชายร้องไห้เสียงแหลม เมื่อวิ่งเข้าไปเธอก็เห็นลูกชายร้องไห้อย่างหนัก ในขณะที่ลูกสาวยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ทุกอย่างดำเนินไปถึงจุดไคลแม็กซ์ เมื่อครั้งหนึ่งเธอขอให้ลูกสาวช่วยดูแลน้องชาย ในระหว่างที่เธอจะได้ลงไปซื้อของข้างล่าง อย่างไรก็ตาม สัญชาตญาณของเธอบอกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อเดินไปได้เพียงครึ่งทางจึงตัดสินใจหันหลังกลับไปที่บ้าน และภาพตรงหน้าทำให้เธอหนาวไปถึงขั้วหัวใจ เพราะไม่คิดว่าลูกสาววัย 4 ขวบจะทำเรื่องแบบนี้ได้

ภาพที่เธอเห็นคือ ลูกสาววัย 4 ขวบ กำลังใช้หมอนกดหน้าทารกแรกเกิดที่บริเวณกลางเตียง เธอตกใจและรีบเข้าไปอุ้มลูกชายทันที โชคดีที่ยังไม่มีเหตุการณ์รุงแรงจนเธอต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เพราะเธอไม่กล้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าออกไปจากบ้านนานกว่านี้ เธอโกรธมากจนอดไม่ได้ที่จะดุลูกสาวคนโต รวมทั้งตีเพื่อสั่งสอน และสั่งให้ไปยืนอยู่ตรงมุมห้องเพื่อสำนึกความผิดของตัว เธอพยายามถามว่าทำไมถึงทำกับน้องแบบนี้ แต่ลูกสาวก็ไม่พูดอะไรได้แต่ร้องไห้

ในช่วงเย็นของวันเดียวกันนั้น เมื่อเธอสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง จึงเดินเข้าไปกอดลูกสาวและพยายามค้นหาต้นตอของเหตุการณ์อย่างใจเย็น ในตอนแรกลูกสาวอ้างว่า เมื่อแม่เดินออกไปน้องก็เอาแต่ร้องไห้เสียงดังมาก เธอแค่คิดว่าจะเอาหมอนปิดปากเพื่อให้น้องหยุดร้องไห้เท่านั้น แต่ผู้เป็นแม่ยังคงคาใจ และชี้ให้ลูกสาวเห็นถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของตัวเอง ที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่รักน้องชายเหมือนเดิม เมื่อได้ยินแบบนั้นลูกสาวก็ยอมรับเสียงเบาว่า “หนูตั้งใจที่จะ… หนูไม่เห็นหน้าเขาอีกต่อไป” ซึ่งเป็นคำสารภาพที่แม่ได้ฟังแล้วรู้สึกชาไปทั้งตัว

ลูกสาวระบายความในใจทั้งน้ำตาต่อไปว่า “ยายบอกว่าพ่อแม่มีน้องชายแล้ว ไม่มีเวลามารักหนูอีกแล้ว หนูจึงต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง อย่ารบกวนพ่อแม่ แล้วทำไมเมื่อก่อนพ่อแม่ถึงรักหนู แต่พอมีน้องชายก็ไม่รักหนูแล้ว แล้วยังไม่มีเวลาให้หนูอีก ” และคำพูดของลูกสาวก็ทำให้คนเป็นแม่อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ตามไปด้วย

ในตอนนี้เธอตะหนักได้ว่า การบ่มเพาะความรักนั้นต้องใช้เวลา แต่บางครั้งการจะทำลายความรักกลับใช้คำพูดเพียงประโยคเดียว จึงอยากแบ่งปันเรื่องราวของตัวเองเพื่อเป็นบทเรียนให้กับทุกคน ระวังคำพูดเพราะอาจเป็น “อาวุธ” ที่กลับมาทำให้คุณเสียใจไปตลอดชีวิต โดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็กๆ แม้ว่าผู้ใหญ่จะมีเจตนาเพียงแค่หยอกล้อ แต่คำพูดเหล่านั้นก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อพวกเขา