แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องความเคารพต่อกฎหมายมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในขณะที่ความขัดแย้งทางอาวุธกำลังทวีความรุนแรงขึ้นในกรณีรัสเซีย – ยูเครน

ตามรายงานข่าวที่ว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินได้สั่งการ “ปฏิบัติการรักษาสันติภาพ” ไปยังภูมิภาคที่เรียกว่า “สาธารณรัฐประชาชนดอแนตสก์” และ “สาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์” ในยูเครนตะวันออกนั้น

แอกเนส คาลามาร์ด เลขาธิการ แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า ภายหลังการเจรจาที่ไร้ผลต่อเนื่องหลายสัปดาห์ การคุ้มครองพลเรือนในยูเครนเวลานี้จะต้องมีลำดับความสำคัญสูงสุด ในขณะที่ ความขัดแย้งเต็มรูปแบบกำลังก่อตัวและกลายเป็นความจริงแห่งหายนะ ต้องมีความพยายามทุกวิถีทางเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของพลเรือน และมนุษยชาติต้องมาก่อนในวิกฤตครั้งนี้ ในฐานะพันธกิจทางกฎหมายที่ทุกภาคส่วนต้องกระทำ

“เราขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมายด้านมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องประกันการคุ้มครองชีวิตของพลเรือน รวมถึงละเว้นจากการโจมตีตามอำเภอใจและการใช้อาวุธสงครามต้องห้าม อันได้แก่ ระเบิดลูกปราย นอกจากนี้ เรายังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอนุญาตและอำนวยความสะดวกให้องค์กรด้านมนุษยธรรมสามารถเข้าช่วยเหลือพลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะสงคราม”

“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจะเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเปิดเผยการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศที่กระทำโดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง”

ก่อนหน้านี้ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เตือนให้เห็นถึงความเสี่ยงร้ายแรงด้านสิทธิมนุษยชน หากเกิดความขัดแย้งทางอาวุธขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมถึงภัยคุกคามต่อชีวิตพลเรือน การดำรงชีวิตและโครงสร้างพื้นฐาน การขาดแคลนอาหารเฉียบพลันและการพลัดถิ่นครั้งใหญ่ที่อาจเกิดขึ้น ทางองค์กรได้บันทึกการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงในยูเครนตะวันออกระหว่างปี 2557-2558 ว่ามีการก่ออาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเกิดขึ้น